Tuesday, September 13, 2011

ไหว้พระ 9 วัด ในกรุงเทพฯ

ปีใหม่เวียนมา แล้วก็เวียนผ่านไป ปีนึงๆนี่ผ่านไปเร็วจริง เมื่อต้นปีที่แล้วเราไปไหว้พระเป็นสิริมงคลกัน(ช่วงต้นเดือนมีนาคม 2553) โดยไปไหว้พระ 9 วัด (จริงๆแล้วเป็น 7 วัด + 2 ศาล) ซึ่งพี่ๆหาทัวร์จัดไปกันเป็นส่วนตัว สมาชิกประกอบด้วยผู้ใหญ่ 8 และเด็ก 2

โปรแกรมนี้จัดโดยหนุ่มสาวทัวร์ มีรถตู้ใหม่เอี่ยม 1 คันพร้อมคนขับ และไกด์อีก 1 คน
เสิร์ฟอาหารเช้าด้วยในรถ (เสียใจ ทำไมมีแต่ขนมเค้กหวานๆและน้ำผลไม้ อยากกินแซนวิชกับกาแฟอ่ะ)
อาหารกลางวันเป็น Buffet ที่โรงแรม SD Avenue ฝั่งธนฯ สถานที่กว้างขวางนั่งสบายดี แต่แอร์หนาวมาก


เราเริ่มต้นการเดินทางเวลา 7 โมงเช้า สถานที่แรกที่ไปคือ (1) ศาลเจ้าพ่อเสือ ซึ่งเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋าที่ชาวจีนนิยมสักการะบูชาเพื่อ “เสริมอำนาจบารมี”
ไกด์เล่าให้ฟังเรื่องเจดีย์ทำจากน้ำตาลที่มีผู้นำมาถวายเจ้าพ่อ โดยมีความเชื่อว่าคู่สามีภรรยาที่ต้องการขอลูก จะต้องมาขโมยเจดีย์นี้ไป 1 อัน นำไปต้มกับฟักเอาน้ำไปดื่ม เมื่อสมปรารถนาแล้วคู่สามีภรรยาต้องนำเจดีย์มาถวายคืนจำนวน 2 อัน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการลูกคู่อื่นๆมาขโมยกันต่อๆไป


นอกจากนี้ไกด์เล่าเรื่องการไหว้เจ้า โดยต้นปีคนจะนิยมไหว้ด้วยส้ม เสมือนว่าต้นปียังไม่ค่อยมีสตางค์ ระหว่างปีขยันขันแข็ง ทำมาค้าขึ้น ปลายปีจึงนำหมูเห็ดเป็ดไก่มาถวายอีกครั้งเพื่อเป็นการขอบคุณ
ปีนี้เป็นปีขาล คนไปสักการะเจ้าพ่อเสือเยอะมากๆ ตั้งแต่เช้า ยิ่งสายคนยิ่งมาก ควรใส่แว่นเพื่อป้องกันควันธูปเป็นอย่างยิ่ง


จากนั้น เรานั่งรถไปยัง (2) ศาลหลักเมือง สักการะหลักเมือง ไหว้พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ เจ้าพ่อหอกลอง “ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมบารมี”
จากบทความ "ไหว้หลักเมือง เสริมหลักชัยให้กับชีวิต" ได้อธิบายถึงเทพารักษ์แต่ละองค์ไว้ว่า
“พระเสื้อเมือง มีหน้าที่คุ้มครองป้องกันทั้งทางบกและทางน้ำ คุมกำลังไพร่พลแสนยากร รักษาบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขปราศจากอริราชศัตรูมารุกราน
พระทรงเมือง มีหน้าที่รักษาการปกครองและกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ดูแลทุกข์สุขของประชาชนให้ร่มเย็นเป็นสุขสวัสดี
พระกาฬไชยศรี เป็นบริวารพระยมมีหน้าที่นำวิญญาณของมนุษย์ผู้ทำบาปไปสู่ยมโลก
เจ้าพ่อเจตคุปต์ เป็นบริวารพระยม มีหน้าที่จดความชั่วร้ายของชาวเมืองที่ตายไปและอ่านประวัติผู้ตายเสนอพระยม
เจ้าพ่อหอกลอง มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเหตุการณ์ต่างๆ อันเกิดขึ้นในแผ่นดิน เป็นต้นว่าคอยรักษาเวลาย่ำรุ่ง ย่ำค่ำ และเที่ยงคืน เกิดอัคคีภัย หรือมีข้าศึกศัตรูมาประชิดพระนคร”


เราเดินข้ามถนนไปยัง (3) วัดพระแก้ว หรือวัดพระศรีรัตนศาสดาราม "ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวนเงินทอง ไหลมาเทมา ตลอดปี"
เพิ่งรู้จากไกด์ว่า สองข้างขององค์พระแก้วมรกตมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติอยู่เบื้องซ้าย และพระปางห้ามสมุทรอยู้ทางด้านขวา โดยเป็นตัวแทนรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่ารัชกาลต้นและรัชกาลกลาง (เอาไว้รอปุ๊ยมาแก้ไขเพิ่มเติมอีกที) พอถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 จะใช้ว่ารัชกาลปลายดูไม่ค่อยไพเราะ จึงเปลี่ยนเป็นมาใช้รัชกาลที่ 1, 2, 3, ...แทน


วันนี้มีเวลาเหลือ ไกด์พาชมส่วนที่เป็นฐานไพที ซึ่งมีปราสาทเทพบิดร พระมณฑป และพระศรีรัตนเจดีย์
พระศรีรัตนเจดีย์นี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 โดยจำลองแบบมาจากเจดีย์วัดพระศรีสรรเพชญ์ ที่อยุธยา เจดีย์นี้เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ องค์เจดีย์สีทองอร่ามจากการประดับกระเบื้องโมเสคจากประเทศอิตาลีในสมัยรัชกาลที่ 5




จากนั้นเราเดินทางไปนมัสการพระพุทธไสยาสน์ ที่ (4) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) "ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ อยู่ดีกินดีตลอดปี"


ฝ่าพระบาททั้งสองข้างของพระนอน ประดับมุก ลวดลายภาพมงคล 108 ประการ


ข้อมูลจาก http://www.watpho.com/ อธิบายไว้ว่า "วัดโพธิ์ หรือนามทางราชการว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกและ เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามวัดเก่า ที่เมืองบางกอก ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นวัดหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง และที่ใต้พระแท่นประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถเป็นที่บรรจุพระบรมอัฐิของพระองค์ท่านไว้ด้วย" การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดโพธิ์มีขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 3 และครั้งฉลอง 200 ปีกรุงเทพมหานครในรัชสมัยรัชกาลที่ 9

วัดโพธิ์เปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เนื่องจากเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำโลกเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551


หลังจากเดินเล่นดูสถาปัตยกรรมในวัดโพธิ์แล้ว เราเดินทางต่อไปไหว้พระศรีศากยมุนี (5) วัดสุทัศน์ “ไหว้พระวัดสุทัศน์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป”
วัดสุทัศน์สร้างขึ้นในบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นแกนกลางของจักรวาล คือศูนย์กลางของเกาะรัตนโกสินทร์
วัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ (ข้อมูลจากคุณไกด์) คือ
1. พระศรีศากยมุนี ประดิษฐานในวิหาร
2. พระแสดงปฐมเทศนาให้สาวก 80 องค์ ประดิษฐานในอุโบสถ (เป็นอุโบสถที่ยาวที่สุด คือมีความยาวถึง 11 ห้อง)
3. พระพุทธรูปอีกองค์ประดิษฐานอยู่ที่ศาลาการเปรียญ สร้างขึ้นจากกลักฝิ่น
วิหารและอุโบสถของวัดนี้ ตั้งอยู่ขวางกันเป็นลักษณะรูปตัว T

จาก http://www.watsuthat.thai2learn.com/ อธิบายไว้ว่า "วัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้น แต่ทรงสร้างค้างไว้แต่เพียงรากพระวิหาร ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใหม่ทั้งอาราม ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก
ส่วนมูลเหตุที่จะทรงสร้างวัดนี้ มีเรื่องราวปรากฏมาว่า “ เมื่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมาเป็นราชธานีแล้ว ความมุ่งหมายที่จะทำนุบำรุงให้เหมือนกรุงศรีอยุธยาเดิม ด้วยนับถือกันว่า ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นสมัยที่บ้านเมืองรุ่งเรือง เรียกกันว่า “ ครั้งบ้านเมืองดี ” รั้ววังวัดวาที่สร้างขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มักถ่ายแบบมาจากกรุงศรีอยุธยา ยกตัวอย่างเช่นที่สร้างวัดสุทัศน์ฯ เป็นที่ประดิษฐานพระโตซึ่งเชิญมาแต่กรุงสุโขทัยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็มีพระราชประสงค์จะสร้างแทนวัดพระเจ้าพนัญเชิงที่กรุงเก่าดังนี้เป็นต้น" รายละเอียดอื่นๆสามารถอ่านได้จาก Website ข้างต้นค่ะ


ช่วงบ่ายหลังอิ่มอร่อยกับ Buffet โรงแรมแล้ว ไกด์พาเราไป (6) กราบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม "ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดัง ตลอดปี"
แวะชมหอพระไตรปิฎก เป็นเรือนไทยซึ่งเคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 1 สมัยที่ทรงรับราชการอยู่กรุงธนบุรี
รายละเอียดเพิ่มเติมอ่านได้จากที่นี่ค่ะตู้พระธรรม หอไตร วัดระฆังโฆสิตาราม


พักหายเหนื่อยหายร้อนซักหน่อย แล้วเดินทางต่อไป (7) “ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตรุ่งโรจน์ ทุกคืนวัน”


และกราบพระที่ (8) วัดกัลยาณมิตร “ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัย ปลอดภัย ตลอดปี”
ที่บริเวณลานจอดรถของวัด มีขนมฝรั่งกุฎจีนขายอยู่หลายเจ้า (น่ากิน)

ปิดท้ายสำหรับการเดินทางเพื่อความเป็นสิริมงคลของวันนี้ที่ (9) วัดชนะสงคราม “ไหว้พระชนะสงคราม อุปสรรคร้าย พ่ายแพ้”

ถ่ายรูปป้ายโปรโมทการไหว้พระ 9 เก้าวัดในกรุงเทพฯของททท. มาด้วย ต่างกันตรงที่พวกเราไม่ได้ไปวัดบวรฯ กับวัดสระเกศ



..ช่วงบ่ายนี่แดดร้อนมากๆๆ แล้วพอไปหลายๆวัดเข้าก็ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย เบลอไปหมด ไกด์พูดอะไรก็ขี้เกียจฟังแล้ว ได้แต่ไปๆให้ครบ 9 วัด คราวหน้าถ้าเรามากันเอง ทยอยไหว้พระแค่ครึ่งวันเช้าซัก 3 วัดจะกำลังดี ตอนบ่ายควรหลบร้อนไปหาร้านกาแฟอร่อยๆ กินเค้กนุ่มๆ นั่งพักนั่งเม้าท์ให้สบายจะดีกว่า อิอิ (จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรจะเขียนเกี่ยวกับวัดที่ไปเที่ยวช่วงบ่ายเรย)

No comments: